คิดนอกกระดาษ ตอน Beyond Print ของจริง 3D Printing
By Weerachon Weeraworawit, Published: 25 December 2013
หลังปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อกว่าศตวรรษที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงบนโลกนี้ก็เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีทั้งด้านบวกด้านลบ ถ้าจะนับที่มีอิทธิพลต่อวงการโฆษณาเราโดยตรง ก็คือการถือกำเนิดของ Mass Production ซึ่งทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าจำนวนมาก ขายให้คนจำนวนมาก อันเป็นต้นกำเนิดของอาชีพการตลาด นักขาย และสายงานโฆษณาในเวลาถัดมา ทั้งยังเป็นจุดเริ่มในการถือกำเนิดของการปฏิวัติใหญ่ๆ ที่ตามมาอย่างการปฏิวัติเทคโนโลยี และการปฏิวัติย่อยๆ อื่นๆ อีกมากมาย ที่ใกล้วงการเราหน่อยก็อย่างเช่น การปฏิวัติสื่อ ซึ่งทำให้ความนิยมในวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เป็นไปอย่างแพร่หลาย และที่เพิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราไปไม่นานคือ การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถติดต่อและสืบค้นข้อมูลกันได้ผ่านอินเทอร์เน็ต รวมถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในชีวิตประจำวันคนเรา
และการปฏิวัติล่าสุดที่กำลังเกิดขึ้นแบบสดๆ ร้อนๆ และอยากแนะนำให้คอยจับตาดู คือการถือกำเนิดของ 3D Printing จากเดิมที่ดำเนินการในลักษณะ B2B คือสั่งทำชิ้นส่วน 3D และขายให้กันในแบบองค์กรต่อองค์กร มาวันนี้ 3D Printing กำลังจะกลายเป็นสินค้า Mass Product มุ่งขาย Mass Consumer อย่างเต็มรูปแบบ เมื่อผู้ผลิตรายใหญ่บางรายสามารถกระชากต้นทุนการผลิตเครื่องพิมพ์และเครื่องสแกน 3D ให้ออกมาวางขายได้ในราคาที่สามัญชนอย่างเราๆ ท่านๆ เอื้อมถึง จากเดิมที่เครื่องละเป็นแสนเป็นล้าน เหลือเพียงเครื่องละ 50,000-60,000 บาท และโจทย์โฆษณา 3D Printer เครื่องแรกสู่สายตาสาธารณชนก็ได้รับการแจกจ่ายออกไปแล้ว โดยทาง MakerBot ผู้ผลิต 3D Printer รายใหญ่ของอเมริกา ได้มอบหมายให้เอเจนซี่อิสระมากฝีมือแห่งนิวยอร์ค Droga5 เป็นผู้คิดงานโฆษณา ใครอยากรู้หน้าตาตัวเครื่องและผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่ออกมาจากเครื่อง 3D Printing ของ MakerBot เป็นอย่างไร ลองแวะเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ www.makerbot.com แต่ถ้าคุณยังไม่คุ้นเคยหรือไม่รู้จัก 3D Printing ที่กล่าวมา ก็ขอยกตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟังนะครับ สำหรับคนที่ชอบเล่นรถเก่า การจะซื้อหาอะไหล่มาเปลี่ยนนั้นแสนยาก ต้องรอแล้วรออีก แถมบ่อยไปที่หาไม่ได้เพราะทางบริษัทเขาเลิกผลิตไปนานแล้ว ลองหลับตานึกภาพว่าคุณมี 3D Printer ติดบ้านดูสิครับ แค่คุณมีแบบแปลนของเจ้าอะไหล่ส่วนที่ขาด ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทางอินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถใช้ซอฟต์แวร์สั่ง 3D Printer ให้พิมพ์อะไหล่ชิ้นที่ว่านั้นออกมาได้ทันที โดยวัสดุที่เป็นที่นิยมใช้กับ 3D Printer ขณะนี้มักเป็นวัสดุที่หาง่ายและคุ้นเคยกันดี เช่น อลูมิเนียม พลาสติก พีวีซี ไปจนถึงวัสดุหายากอย่างไททาเนี่ยม ตัวอย่างเรื่องรถเก่าข้างต้นนี่ ไม่ได้ยกมาลอยๆ นะครับ เมื่อ 4 ปีก่อน Jay Leno พิธีกรรายการทอล์คโชว์ชื่อดังของอเมริกา ได้ทำการสั่งพิมพ์อะไหล่มาแล้วให้กับรถเก่าปี 1907 ของตนเอง
และถ้าคุณไม่ชอบหน้าตาหรือรูปทรงของเจ้าอะไหล่ที่ได้มา คุณสามารถเปลี่ยนแบบได้ด้วยตนเอง โดยใช้โปรแกรม CAD หรือลองหัดโปรแกรมง่ายๆ อย่าง Google Sketchup ที่มีให้ใช้ฟรีทางอินเทอร์เน็ต หรือจะลองดาวน์โหลดโปรแกรมอื่นที่คนทยอยนำออกมาแชร์กันตามความแพร่หลายของ 3D Printing ก็ได้นะครับ จะเห็นได้ว่า จากการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารได้นำไปสู่อีกการปฏิวัติหนึ่ง และการปฏิวัตินี้ไม่ใช่แค่จะเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในวงการใดวงการหนึ่ง แต่กำลังจะเกิดผลกว้างไกลในทุกวงการ เช่น MakerBot ที่กล่าวถึงข้างต้นก็กำลังร่วมกับ RoboHand พัฒนาการพิมพ์มือเทียมพลาสติกเพื่อผู้พิการทั่วโลกสามารถพิมพ์ออกมาใช้งานได้เองภายใน 10-20 นาที เกิด Mass Production ที่ Consumer คนไหนๆ ก็เป็นผู้ผลิตได้ สามารถเกิดโรงงานเล็กๆ ในบ้านทั่วโลก โดยมีเครื่องพิมพ์ 3D Printer เป็นเครื่องจักร ไม่เพียงแค่นั้น บริษัท Bespoke Innovations ที่อเมริกายังประสบความสำเร็จในการใช้ 3D Printing ผลิตแขนขาเทียมให้เหมาะกับร่างกายของผู้พิการแต่ละคนในราคาเริ่มต้น 120,000 บาท เกิด Customised Product ที่ผู้บริโภคออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับสรีระตนเองได้
ในวงการแพทย์ทั้งในอเมริกาและยุโรปก็ไปไกลถึงขนาดกำลังพัฒนาการสร้างหัวใจและตับไตไส้พุงจากแบบ Stem Cells ของมนุษย์ผ่านเครื่อง 3D Bioprinting เรียกง่ายๆ ว่าแคมเปญขอบริจาคอวัยวะทุกวันนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปเลย เพราะแพทย์จะสามารถนำเซลล์ของผู้ป่วยมาพิมพ์สร้างอวัยวะที่ผู้ป่วยต้องการ ซึ่งอวัยวะที่ได้เมื่อเกิดจากเซลล์ของผู้ป่วยเอง ก็จะตัดปัญหาการเข้ากันไม่ได้ระหว่างอวัยวะบริจาคกับร่างกายของผู้ป่วย ทั้งตัดปัญหาเรื่องการขาดแคลนอวัยวะบริจาคที่เป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้ไกลขึ้นไปในห้วงอวกาศ การขนส่งวัตถุหนักๆ จากพื้นโลกไปยังสถานีอวกาศหรือแม้แต่ดาวใกล้ๆ อย่างดวงจันทร์ สร้างค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนย้ายอย่างมโหฬารให้กับนาซ่า ทางองค์กรจึงกำลังวางแผนนำเทคโนโลยี 3D Printing ขึ้นไปใช้งานบนดวงจันทร์ในอนาคตอันใกล้ เพราะบนนั้นมีสาร Silica ที่มีความแข็งแรงสูงอยู่มากมาย ให้มนุษย์อวกาศนำมาพิมพ์เป็นของใช้และสิ่งปลูกสร้างได้อย่างสบายแต่การปฏิวัติเทคโนโลยีการพิมพ์ครั้งนี้ ก็เหมือนการปฏิวัติอื่นๆ เมื่อมีด้านสว่างก็มีด้านมืด อยู่ที่มนุษย์เราจะเลือกนำด้านไหนไปใช้งาน อย่างตอนที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ เพิ่งมีข่าวตีพิมพ์ว่าบริษัท Solid Concepts ประสบความสำเร็จในการพิมพ์ปืนกระบอกแรกของโลกจากชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 30 ชิ้น ที่เกิดจาก 3D Printing และเมื่อนำมาประกอบเป็นปืนแล้วทดลองยิงก็ให้ผลลัพธ์เหมือนปืนปกติ โดยบริษัทนี้ยังบอกว่าได้รับใบอนุญาตในการพิมพ์ปืนอย่างถูกกฎหมายจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่ที่น่าตกใจก็คือในเนื้อข่าวยังทิ้งท้ายว่า ถึงแม้รัฐบาลจะแบนแบบแปลนในการผลิตปืนจาก 3D Printing ไม่ให้แพร่หลายออกสู่ประชาชน แต่แบบแปลนที่ว่าก็ได้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วเรียบร้อยหลายแสนครั้ง ในวงการโฆษณาเอง บรรดาเอเจนซี่หัวก้าวหน้าก็เริ่มทยอยติดตั้งระบบ 3D Printing เพื่อศึกษาถึงศักยภาพในการนำมาใช้งานสื่อสารในอนาคต และเริ่มมีผลงานโฆษณาดีๆ ที่ใช้ 3D Printing เป็นแกนหลักนำเสนอออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสนใจ เช่น ผลงานของเอเจนซี่อิสระ Happiness Brussels ที่ทำให้บริษัทประกัน DVV ที่เบลเยี่ยม โดยสแกนกุญแจบ้านลูกค้าเก็บไว้ใน Database ถ้าลูกค้าทำกุญแจบ้านหายทางบริษัทก็สามารถพิมพ์ให้ใหม่ได้ทันทีด้วย 3D Printer แค่เข้าไปที่ www.keysave.be หรือผลงานของเอเจนซี่รวมดาว Party แห่งโตเกียวที่ทำโปรโมชั่นร่วมให้ลูกค้า Muji to Go กับ ANA Airlines ในแคมเปญชื่อ mini to GO โดยให้ลูกค้าที่ต้องการเข้าแข่งขันชิงรางวัลมาสแกนร่างกายแบบ 3D ที่ร้าน Muji ผู้ได้รับเลือกจะได้รับตั๋วเครื่องบินให้ออกเดินทางไปพบกับหุ่น 3D ตนเองในอีกซีกโลก ลองเซิร์ชชื่อแคมเปญในยูทูบดูครับ มีหนังสั้นเท่ๆ แบบญี่ปุ่นให้ดูด้วย
แต่ที่ขำสุดๆ ขอยกให้เอเจนซี่ฝีมือดี Rethink แห่ง Vancouver ลองดูคลิปนี้สิครับ Rethink – The agency with the most awards in the world รับรองฮาแน่ เพราะพี่แกเล่นเอาบรรดารางวัลโฆษณาที่อยากได้มาพิมพ์ 3D Printing ได้โทรฟี่ออกมาวางโชว์เต็มทางเข้าออฟฟิศ ทั้งสิงโตคานส์ ดินสอ One Show จนถ้านับจากปริมาณรางวัลที่ปั๊มออกมาเอง ตอนนี้ Rethink กลายเป็นเอเจนซี่ที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในโลกไปเรียบร้อยโรงเรียนแคนาดา เรื่องของเรื่องมาจากการที่ทางเอเจนซี่เห็นเทรนด์ 3D Printing กำลังมาแรงในวงการโฆษณา ก็เลยตั้งโจทย์ให้ครีเอทีฟช่วยกันคิดว่าทำอย่างไร Rethink ถึงจะเป็นเอเจนซี่แรกในโลกที่ได้รางวัลจากงานที่ใช้ 3D Printing เป็นหลัก ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น ช่างคิดแบบนี้ กลางปีหน้าคงไม่แคล้วได้สิงโตของจริงจากงานนี้ไปประดับหน้าออฟฟิศเป็นแน่
Metro
June 10, 2015 at 9:08 AM //
ดีจริงๆนะครับ สามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างตั้งแต่สร้างของเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงสร้างอวัยวะเทียมได้ เป็นสิ่งที่น่าจะสร้างผลกระทบกับโลกใบนี้ได้อีกอย่างนึงเลย น่าสนใจมากครับ