BEYOND PRINT: 5th Article: Lobby in Cannes

คิดนอกกระดาษ ตอน ล็อบบี้ที่คานส์

By Weerachon Weeraworawit, Published: 31 August 2012

ล็อบบี้โรงแรม Carlton

อ๊ะๆ! ดูรูปและชื่อตอนคอลัมน์นี้แล้ว อย่าเพิ่งนึกว่ากำลังอ่านสารคดีนำเที่ยวนะครับ จริงอยู่ว่าผมกำลังจะชวนคุณผู้อ่านไปเที่ยวเมืองคานส์ แต่ไม่ใช่การพาเที่ยวโรงแรมห้าดาวที่นั่น หากเป็นการพาทัวร์แบบเจาะลึกถึงห้องตัดสินงานโฆษณาและสิ่งที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ช่างมีผลมหาศาลกับชะตากรรมของงานบางชิ้น นั่นก็คือ… ล็อบบี้

เด็กๆ ฟัดกันในล็อบบี้โรงแรม Carlton

งาน Cannes International Festival of Creativity ปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-23 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่การทำงานในฐานะกรรมการ Film Lions เริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มการตัดสิน กล่าวคือ พอผมเดินทางไปถึงคานส์เที่ยงๆวันศุกร์ที่ 15 มิ.ย.ปุ๊บ ตอนเย็นวันนั้น เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่คานส์จะเลี้ยงดินเนอร์ต้อนรับกรรมการแต่ละหมวด โดยหมวดฟิล์มก็จะเลี้ยงกันที่โรงแรม Carlton ที่พวกเราพักกัน ทางผู้จัดงานคานส์ถือเป็นโอกาสอันดีที่กรรมการซึ่งต่างคนต่างมาจากทุกมุมโลกจะได้ทำความรู้จักมักคุ้น เป็นการ Breaking Ice ก่อนเริ่มการตัดสิน ส่วนกรรมการแต่ละคนก็จะถือโอกาสนี้แนะนำตัว แถมบางคนก็จะอวดผลงานของตนเองให้กรรมการชาติอื่นรับรู้และเอ็นดู แต่ปีนี้ ผมชิ่งครับ ฮ่าๆ! ก็แหม! วันเสาร์ที่ 16 มิ.ย. ผมก็จะต้องโดนล็อคให้ดูหนังในห้องสี่เหลี่ยมนานไปจนถึงอีกเสาร์นึงนู่นเลย เพื่อนกรรมการน่ะ รู้จักกันวันหลังก็ได้ ส่วนผมขอเที่ยวก่อน ว่าแล้วก็นั่งรถไฟยาวไปประเทศโมนาโก เยี่ยมชมเมืองซูเปอร์คาร์คือมอนติคาร์โลแบบชิลๆ แต่จริงๆแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกชิ่งดินเนอร์นัดเปิดตัวกับเพื่อนกรรมการ!!!

 

บินจากกรุงเทพฯเที่ยงคืนถึงสนามบินเมืองนีซเที่ยงวัน ทีมงานคานส์ส่งรถคันนี้มารับ นั่งรถต่ออีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงคานส์

ต้องพักที่นี่ 10 คืน คืนละ 400 ยูโร ขนหน้าแข้งไม่ร่วงเพราะคานส์ออกให้

หนีดินเนอร์วันแรก นั่งรถไฟจากคานส์ไปยล Monte Carlo แบบชิลๆ นั่งไปแค่ครึ่งชม.เอง

จากเมืองเศรษฐกิจเดี้ยงๆ เมื่อร้อยปีก่อน พอเปิดบ่อนปุ๊บก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง พบสารพัดซูเปอร์คาร์ได้ที่หน้าบ่อนมอนติคาร์โล

Installation ตรงข้ามบ่อนใหญ่แห่งมอนติคาร์โล

Installation หน้ามิวเซียมประเทศโมนาโก ประเทศเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน โดยมีเมืองมอนติคาร์โลเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ

หนแรกที่ผมไปตัดสินงานคานส์เกิดขึ้นในปี 2007 หนนั้นไปตัดสินหมวด Outdoor Lions ยังจำความรู้สึกได้ดีเลยครับว่า ต้องแบกความคาดหวังอันหนักอึ้งของลูกน้องครีเอทีฟในทีมตัวเอง น้องๆเพื่อนๆพี่ๆครีเอทีฟทีมอื่น และของเอเจนซี่เก่าที่เคยทำงานด้วยเวลานั้นไปตัดสินด้วยเต็มบ่า จะไม่ให้รู้สึกหนักใจได้ไงล่ะครับ ก็ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ บ้านเราเวลาส่งงานไปคานส์ที ก็จะเน้นส่งแต่ในหมวด Film, Press แล้วก็เอางานในหมวด Press มาส่งเบิ้ลเข้าไปเป็นโปสเตอร์ในหมวด Outdoor อีกที โอ้ว! หมวดหลักๆของไทยแลนด์ แต่ก่อนมีแค่ 3 หมวดนี้จริงๆครับ ทั้งที่คานส์เค้ามีหมวดใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อตอบรับกับทิศทางงานโฆษณาใหม่ๆที่ขยายตัวออกไปไม่หยุดยั้ง จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะคาดหวังบนหมวดเอาท์ดอร์ที่ผมไปตัดสินไว้สูง ดินเนอร์ต้อนรับคราวนั้น ผมเลยไม่ชิ่ง ชิ่งได้ก็ไม่ชิ่งล่ะครับ เพราะคิดว่าต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งก็เป็นไปตามสเต็ปที่วางไว้ ผมได้แนะนำตัวเอง ได้หาทางแนะนำผลงานของออฟฟิศ ของประเทศ แต่แล้ว… เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า

จะไม่ให้ชิ่งดินเนอร์เปิดตัวกับเพื่อนกรรมการได้ไง ในเมื่อมีสุดยอดซีฟู้ดเมืองคานส์รออยู่

Cold Seafood Palette จานละ 79 ยูโร ใครไปคานส์ขอแนะนำให้ลิ้มลอง

หลังดินเนอร์คราวนั้น เพื่อนกรรมการชาวอาร์เจนตินาผู้กระหายอยากได้รางวัลสิงโตคานส์มากกว่าผมเป็นสิบเท่า ถึงกับขอให้ผมแวะห้องเค้าเพื่อจะได้อวดงานของเค้าให้ดูถนัดๆ ประมาณว่า จะล็อบบี้กันทีก็ต้องเนียนๆล่ะครับ อย่าให้ใครเห็น ผมอดคิดในใจไม่ได้ว่า นี่แกจัดหนักนะเนี่ย แต่ก็เอาวะ! มันเป็นผู้ชายนิ เข้าห้องไปคงไม่มีใครว่า ฮ่า! แต่สิ่งที่เพื่อนกรรมการชาวละตินคนนี้โชว์ให้ผมดู เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากเรา เชื่อมั้ยครับ ไม่ใช่แค่ผลงานของเค้านะครับ ไม่ใช่แค่ผลงานของประเทศอาร์เจนติน่า ไม่ใช่แค่ผลงานของทวีปอเมริกาใต้ แต่เป็นผลงานของเพื่อนฝูงชาวละตินเค้าทั้งหมด ครับ! เหมารวมทั้ง สเปน โปรตุเกส เม็กซิโก ฯลฯ แม้แต่ผลงานของพี่น้องชาวละตินที่ไปทำงานที่นิวยอร์ค แอลเอ ลอนดอน งานเด่นๆตัวความหวังของชาวละตินถูกรวบรวมไว้ในอัลบั้มเดียวกัน กางแผ่หราอยู่ตรงหน้าผม ทำให้ผมตระหนักทันทีเลยว่า จะไม่ให้ครีเอทีฟชาวละตินผงาดกวาดคานส์กลับบ้านเป็นกอบเป็นกำได้ไงครับ เค้ารักกันดีขนาดนี้ แพ็คทีมกันมาเลย นี่แค่ห้องเอาท์ดอร์ห้องเดียวนะ เน็ตเวิร์คโยงใยในห้องอื่นอีกล่ะ ชาวเอเชียอย่างเราๆจะเอาอะไรไปสู้ล่ะครับ เพราะความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเรา ทำให้พวกเราเชื่อมกันไม่สนิทขนาดเค้า แต่ถ้ามองมุมกลับ ก็น่าจะเป็นความภูมิใจไปอีกแบบล่ะครับ ที่พวกเราชาวเอเชียก็ยังกวาดรางวัลกันได้เป็นว่าเล่น ทั้งที่ต้นทุนหลายๆอย่างของเราเทียบไม่ได้กับชาวละตินและฝรั่งหัวทอง!

ภาพหมู่กรรมการห้อง Film Lions ปีนี้

ตัดภาพกลับมา ณ ปัจจุบัน จากประสบการณ์คราวนั้น ทำให้ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเล่นเกมล็อบบี้กับใครให้เสียเวลาตั้งแต่ไก่โห่ เพราะสุดท้ายแล้ว ด้วยระบบการคัดเลือกกรรมการอันยอดเยี่ยมของคานส์ที่เน้นความหลากหลายในทุกมิติ ตั้งแต่ระดับประเทศ ภูมิภาค ทวีป ไปจนถึงการคัดกรองป้องกันความซ้ำซ้อนของกรรมการต่างชาติต่างภาษาแต่มาจากเอเจนซี่เดียวกัน เน็ตเวิร์คเดียวกัน ทั้งยังรวมไปถึงการพิจารณาแยกแยะโควต้าสำหรับ Independent Agency (อันเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คานส์เชิญผมไปเป็นกรรมการในปีนี้) เพื่อคานดุลย์กับเอเจนซี่และเน็ตเวิร์คต่างๆที่อยู่ภายใต้ Public Holding Company ใหญ่ๆทั่วโลก

เพื่อนๆ กรรมการแฮงเอาท์หน้าห้องตัดสินรอบแรก

ทัมไค่เหม็ง Chairman ห้องฟิล์ม Worldwide Chief Creative Officer ของ Ogilvy & Mather พูดให้แนวทางการตัดสินกับคณะกรรมการ

ดังนั้น งานที่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นของใคร เชื้อชาติไหน เอเจนซี่ไหน ก็จะได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการที่มากความหลากหลายข้างต้นให้เข้ารอบอยู่ดี ส่วนงานที่แย่ ดันกันให้ตายก็จะจบแค่ Shortlist ซึ่ง Shortlist มันอาจมีความหมายกับเอเจนซี่และเน็ตเวิร์คที่แสวงหา Ranking ในการจัดอันดับหาผู้ชนะ Agency of the Year และ Network of the Year ในคานส์แต่ละปี

แต่ผมรู้สึกว่าไม่ได้มีความหมายอันใดกับผมและชาวโลกเลย ผมจึงไปร่วมการตัดสินครั้งนี้ด้วยจิตใจที่ปรอดโปร่ง ผ่อนคลาย อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไปเพื่อเปิดหู เปิดตา เปิดใจ รับฟังมุมมองความเห็นใหม่ๆ ดูหนังโฆษณาดีๆจากทั่วโลก รับแรงบันดาลใจมาเป็นเชื้อไฟในการทำงาน แต่เอ๊ะ! ช้าก่อน! เราเป็นคนไทยนี่ เราไปในฐานะตัวแทนจากประเทศไทย ผมจึงมีหน้าที่นึงที่ต้องทำให้สำเร็จ นั่นคือ ต้องมีหนังโฆษณาของคนไทยได้รับรางวัลสิงโตคานส์ในปีที่ผมไปตัดสิน ไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะมาจากฝีมือของครีเอทีฟคนใด เอเจนซี่ไหนก็ตาม

คู่มือกรรมการบนโต๊ะตัดสิน (แว่นไม่เกี่ยว)

หน้าตา Interface ของ Software ที่ใช้ตัดสินหนังในรอบแรก

เครื่องให้คะแนนผ่าน Wifi แฮงค์ตลอด ขนาด Robert Wong เพื่อนกรรมการจากกูเกิ้ลยังแซวเลยว่าน่าจะใช้ iPad ฮ่า!

ตัดสินหนังรอบแรกเช้าจดเย็น ในห้องมืดๆ เล็กๆ แบบนี้ 3 วัน

ทีมงานคานส์ทำงานฉายหนังอยู่หลังห้อง… “เครื่อง Galaxy แฮงค์อีกแล้ว ทำไงดี”

บรรยากาศใน Palais ก่อนวันงานหนึ่งวัน

หน้าที่นี้เป็นภาระทางใจที่กรรมการไทยทุกคนมีร่วมกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา และต้องยกเครดิตให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆในสมาคมผู้กำกับศิลป์บางกอก ที่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ โดยเป็นตัวแทนของคานส์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ร่วมกับ a day Publishing อันหมายถึงภารกิจในการคัดกรองรายชื่อกรรมการส่งให้คานส์พิจารณา จะอยู่ในมือของนายกฯและรองนายกฯแต่ละปี ซึ่งการันตีว่าครีเอทีฟที่มีความรู้ ความสามารถ และบารมี เป็นที่ยอมรับของวงการ จะเป็นคนคัดสรรกลุ่มครีเอทีฟที่มีใจทำงานพัฒนาวงการโฆษณาไทย มีใจที่จะต่อสู้ให้กับงานของคนไทย ไปเป็นตัวแทนของประเทศไทยในคานส์ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ไทยเราจะมีเก้าอี้กรรมการในหมวด Cyber Lion เพิ่มขึ้นในปีนี้ และไม่แปลกอีกเช่นกันที่ปีนี้ เรามี Gold Lion ในหมวด Print Craft ผลงานของพี่สุรชัยและทีม Illusion ก็เพราะเรามีกรรมการที่ดีที่คอยสนับสนุนงานที่ดีจากประเทศไทยอย่างคุณนุช จาก McCann World Group อยู่ในห้อง Press Lion

พักสายตาจากห้องมืด ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมจากห้องตัดสิน

ไปรับพี่ชาย สหรัฐ ที่โรงแรม JW Marriott เพื่อไปดินเนอร์บนเขาย่านเมืองเก่า

ดินเนอร์บนเขากับพี่ชาย และเพื่อนๆกรรมการห้อง Cyber ชาวเกาหลี

ปาร์ตี้งาน Opening Gala กับนุช CD จาก McCann World Group กรรมการห้อง Press Lions และมิ้ม Managing Partner/Co-founder จาก Well Done Bangkok

ถ่ายรูปกับนุช ก่อนตะลุยปาร์ตี้

Master Class สอน Young Lions ของ Droga5 คนเข้าฟังจนล้น

ผู้เข้าร่วมงานไม่ปรากฏสัญชาติ โฮ่ง!

เห็นวางขายหยั่งเงี้ย ไม่ใช่ว่าใครก็ซื้อได้ ต้องเคยทำงานชนะได้คานส์มาก่อน ถึงจะสั่งซื้อได้

ตัดสินหนังรอบสุดท้ายกันในห้องนี้

ฉับ! ตัดภาพกลับมาอีกครั้ง ในห้องตัดสิน Film Lion เช้าวันอังคารที่ 19 มิ.ย. หลังจากที่แยกกรรมการออกเป็น 3 กลุ่ม ตะลุยดูหนังโฆษณาทั้งโลกมาตลอด 3 วันแรก พวกเรากรรมการทั้ง 23 คน ก็ได้กลับมารวมตัวกันแบบครบทีมพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรก เพื่อดูหนังทั้งหมดที่ผ่านเข้ารอบ Longlist กันอีกครั้ง ผลงานโฆษณาในรอบ Longlist ได้รับการพิมพ์มาอยู่ในมือกรรมการทุกคน

บรรยากาศห้องตัดสินรอบ Shortlist

พวกเราต้องตัดหนังโฆษณาออกไปอีกเพื่อให้เหลือสั้นที่สุดเป็น Shortlist คานส์จะได้นำไปแจกจ่ายกับนักข่าวอย่างเป็นทางการ และลงผลประกาศ Shortlist ในเว็บไซต์ให้ครีเอทีฟทั่วโลกลุ้นกันต่อไป ผมกวาดตาดูรายชื่อหนังโฆษณาไทยใน Longlist คุณพระช่วย! ฉิบหายแล้ว! แม้แต่ในลิสต์รายชื่อหนังที่ยังยาวเหยียดรอการตัดออก มีหนังโฆษณาไทยหลุดเข้ารอบเพียงเรื่องเดียว ครับ! เรื่องเดียวเท่านั้น คือหนังของ ไทยประกันชีวิต ชุด Silence of Loveหรือ พ่อใบ้ ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ที่ชวนให้ใจหายมากไปกว่านั้น ในฐานะที่ติดตามงานโฆษณาในคานส์มายาวนาน ผมรู้เลยว่า งานเข้า! เพราะที่ผ่านมา หนังของแบรนด์นี้ไม่เคยได้รับสิงโตคานส์กลับบ้านเลยซักครั้ง ใกล้ที่สุดก็ได้แค่ Shortlist เพราะเวทีคานส์เค้าตัดสินกันที่ไอเดียครับ

อีกมุมในห้องตัดสินรอบ Shortlist

 

หนังของเราอาจจะโดนใจแต่มีไอเดียที่บางเบา ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอหนังเรื่องนี้ฉายในรอบ Longlist จบปุ๊บ ผมก็ต้องกลั้นใจ ดูซิว่า ปฏิกิริยากรรมการจะเป็นอย่างไร

… “ดั้น ช่วยชี้แจงหน่อยซิ หนังเรื่องนี้ออนแอร์ยาวๆสามนาทีขนาดนี้ในบ้านคุณจริงเหรอ?”

… “นี่คุณ หนังเรื่องนี้เค้าจะขายสินค้าประกันชีวิตแบบไหน คุยกับใคร ลูกหรือพ่อแม่?”

… “เค้าตั้งใจทำมาเพื่อเป็นหนังแบรนดิ้งรึเปล่า?”

… เอาล่ะสิ ถามเยอะหยั่งงี้ ชักไม่งามแฮะ ดีนะ ที่พอจะรู้โจทย์แบรนด์นี้อยู่บ้าง ผมพยายามทำตัวเฉยๆเข้าไว้ ตอบไปให้ตรงคำถาม แต่แล้วก็มีคนเริ่มยิงประเด็นใหม่

… “ผมก็ชอบนะ เล่าเรื่องได้ดี แต่เราควรให้รางวัลกับไอเดีย”… มาร์ค ฝรั่งฮอลแลนด์เจ้าของ Gold Lion หนังไฮเนเก้นปีที่แล้วเปิดประเด็น

… ฝรั่งคนอื่นเริ่มพยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วก็มีเสียงกรรมการผู้หญิงคนนึงพูดแย้งขึ้นมา… “อืมม์! หนังเรื่องนี้ทำให้พวกเราน้ำตาไหลนี่ ชั้นว่า อย่างน้อยก็ให้เข้ารอบไปก่อน หนังดีๆอย่างนี้สมควรอยู่ในรอบ Shortlist”

… โอ้ว! เสียงสวรรค์ ผมหันไปยิ้มขอบคุณเธอซึ่งเป็นกรรมการละติน กรรมการชาวละตินคนอื่นพยักหน้า

ส่วนกรรมการเอเชียไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พวกเดียวกัน ความคิดเห็นคล้ายๆกัน พอถึงตอนยกมือ หนังเรื่องนี้ก็ได้ผ่านเข้ารอบ Shortlist ทั้งที่กรรมการผมทองส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย

ถึงรอบ Shortlist โยน Tablet โหวตลับทิ้งไป ใช้วิธีโนเทคยกมือ ชอบไม่ชอบงานไหน งัดมาถกกันได้เต็มที่

กรรมการคุยกันระหว่างเบรคพัก

 

“โมนิก้า ขอบคุณมากนะที่ช่วยพูดให้หนังไทย”… พอเบรคปุ๊บ ผมก็เดินออกมาคุยกับโมนิก้า เธอจับกลุ่มคุยอยู่กับกรรมการละตินซึ่งแต่ละคนก็คุ้นหน้าคุ้นตากับผมดีอยู่แล้ว เพราะตอนที่ตัดสินรอบแรกแยกเป็น 3 กลุ่ม คานส์จะสลับกรรมการให้ได้เจอกันถ้วนหน้าใน 3 วันแรก

“ชั้นชอบหนังเรื่องนี้นะ อาจจะเพราะแบคกราวด์คนละตินกับไทยเหมือนกัน พวกเราเป็นพวก Emotional ชอบอะไรที่มันคุยกับหัวใจ ฉันยังเคยไปเที่ยวเมืองไทยเลย ชอบอัธยาศัยคนไทยมาก”… โมนิก้าตอบกลับมาอย่างเป็นมิตร

“คุณว่าหนังเรื่องนี้มีโอกาสได้สิงโตมั้ย”… ผมลองแหย่ดู

“คนอื่นว่ายังไงชั้นไม่รู้ล่ะ แต่ว่าชั้นจะโหวตให้นะ อย่างน้อยก็ควรได้บรอนซ์”… คำตอบนี้ เท่ากับว่าผมกำลังจะได้เสียงโหวตจากกรรมการละตินทั้งหมด ผมจึงเปิดประเด็นใหม่เป็นการตอบแทน…

“แล้วหนังของคุณล่ะ มีเรื่องไหนที่น่าสนใจบ้าง”

เธอยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรมากขึ้น พร้อมกับพรั่งพรูพล็อตหนังทั้ง 3 เรื่องของเธอที่กำลังรอลุ้นเข้ารอบ Shortlist ให้ผมฟัง

หน้าตาห้องตัดสินตอนเช้า ก่อนการโหวตหาผู้ชนะ Cannes Lion

วันถัดมา เป็นวันดีเดย์ พวกเราทยอยตัดสินรางวัล Gold, Silver, Bronze ไล่ Category ไปเรื่อยๆ ดูหนังแบบเต็มๆบ้างหรือดูแค่ภาพนิ่งในหนังบ้างเพื่อเป็นการประหยัดเวลา จนกระทั่งมาถึงหนังพ่อใบ้…

หนังเรื่องนี้จะได้สิงโตกลับบ้านหรือไม่ การล็อบบี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญที่สุด คือคุณค่าของผลงาน ผมตัดสินใจว่า หนังไทยจะได้รางวัลคานส์หรือไม่ ในเวลาสำคัญเช่นนั้น ผมต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากหนังเรื่องนี้เอง สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด ณ เวลานั้น ก็แค่พูดดักคอไม่ให้เพื่อนกรรมการคนอื่นเรียกร้องให้ตัดสินจากภาพนิ่ง ที่เหลือ เป็นหน้าที่ของหนังเรื่องนี้ที่ต้องช่วยตัวเอง

“ก่อนจะโหวต ผมขอให้เปิดดูหนังเรื่องนี้แบบเต็มๆครับ อยากให้พวกคุณได้ลองจินตนาการดูว่า มีแบรนด์อยู่แบรนด์หนึ่งในประเทศคุณ ทุกปีจะทำหนังโฆษณาความยาว 2-3 นาที ออกมาฉายในฟรีทีวีเป็นเดือนๆ เพื่อสร้างแบรนด์และให้แรงบันดาลใจคนดู และปีนี้พวกเราคนไทยก็ได้ดูหนังเรื่องนี้เหมือนทุกปี”

… เสียงโฆษกในหนังพ่อใบ้จบลง พร้อมเสียงซื้ดซ้าดสูดน้ำมูกของกรรมการบางคน กรรมการส่วนมากน้ำตารื้น ภาษาหนังของพี่ต่อ ธนญชัย ปล่อยมนต์มัดใจกรรมการจำนวนมาก

ตัดสินหา Lion กรรมการล้อมวงมานั่งใกล้ๆ กัน เวลาคุยกันจะได้ได้ยินทั่วถึง

“โหวต”… เจ้าหน้าที่จัดงานในห้องบอกกรรมการให้โหวต ทุกคนทยอยยกมือ

“13 เสียง”… เจ้าหน้าที่ขานคะแนนเสียง ผมใจหาย การที่หนังจะได้สิงโตหรือไม่ต้องได้ Majority Vote เกิน 3 ใน 4 จากกรรมการ 23 คน เราต้องการ 15 เสียง

“ผมว่า เราควรดูที่ Impact ของหนังที่มีต่อคนดูด้วย ไม่ใช่แค่ดูที่ไอเดีย” … เฟอร์นันโด พี่ใหญ่ของชาวละตินพูดเกลี้ยกล่อมกรรมการคนอื่นๆ

“ผมว่าเราควรให้รางวัลแก่หนังเรื่องนี้นะ มันเป็นหนังที่กินใจมากๆ”… คูการ์ กรรมการหนุ่มชาวละตินอีกคนเสริมขึ้น

“ผมเห็นพวกคุณแอบร้องไห้ให้หนังเรื่องนี้นะ พวกคุณชอบมันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมหายไป 2 เสียงล่ะ”… ผมได้ที จึงแหย่ไปยิ้มๆ ทำใจดีสู้สิงโตข้างหน้าที่กำลังจะหลุดลอยหายไป

“14… ”… เสียงเจ้าหน้าที่ขานคะแนนเสียงดังขึ้นตามจำนวนมือที่ยกเพิ่มขึ้น ครั้งนี้เป็นมือของแองกัส เพื่อนกรรมการชาวเยอรมัน

“15… ”… ปีเตอร์ เพื่อนกรรมการชาวเบลเยียมตัดสินใจยกมือเพิ่มคะแนนเสียงสุดท้ายให้กับหนัง เท่ากับว่าพ่อใบ้ได้สิงโต

ฝรั่งผมทองผู้บูชาไอเดียยิ่งกว่าพระเจ้า 2-3 คน โวยวายขึ้นว่า อ้าว! ได้รางวัลไปแล้วเหรอ พวกเค้าไม่เห็นด้วยนะ หนังต้องทำงานกับหัวคิด ไม่ใช่หัวใจ แต่วินาทีนั้น ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเป็นกฎเหล็กของคานส์ โหวตให้รางวัลสูงขึ้นได้ แต่โหวตลงไม่ได้

ผมเป่าปากยิ้มในใจอย่างโล่งอก เอาล่ะ! ต่อจากนี้จะได้ไล่ยิงงานฝรั่งแบบไม่ต้องเกรงใจกันซักที

เปิดแชมเปญฉลอง หลังได้ผู้ชนะ Grand Prix

แค่หนังไทยเรื่องเดียวก็ชวนให้พาดพิงถึงหนังที่ได้ Grand Prix แล้วล่ะครับ สำหรับผม เหตุผลที่ Chipotle คว้าชิ้นปลามันไปครอง หลักๆก็มาจากกรรมการทั่วโลกโดยรวมเค้าหมั่นไส้หนังไอเดียจ๋าๆและ Execute คมๆแบบ Very ฝรั่งนั่นแหละครับ หนังตัวเก็งของ Canal+ และ The Guardian ถึงได้จบลงแค่ Gold ส่วน Chipotle เป็นหนังของอเมริกันก็จริง แต่มีประเด็นใหม่ในการพูดเรื่องเกษตรกรรมที่เป็นของชาวโลก

งานแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทั่วโลกถึงผลการตัดสิน Film Lions ปีนี้

ก่อนหน้างานแถลงข่าว ยังต้องไปตัดสิน Young Film Lions โจทย์การกุศล Movember รณรงค์สู้มะเร็งโรคอัณฑะด้วยการสร้างกระแสไว้หนวดทั่วโลก ก็เลยให้ ทัมไค่เหม็ง ช่วยเขียนหนวดให้เป็นการรณรงค์แบบ Happening ผลออกมาอย่างที่เห็น:)

ชักรูปร่วมกับเจ้าของโปรเจ็คท์ Movember จากออสเตรเลียซะเลย

คิดดูแล้วกันมันน่าหมั่นไส้ขนาดไหน ขนาดหนังตัวเก็งจากอินเดียเรื่อง I am Mumbai ยังโดนยิงร่วงกระจุยเลยครับ ฝรั่งพากันยิงว่า ไอเดียไม่ใหม่ กำกับฯห่วย ตัวแสดงเล่นโอเว่อร์ไป ทั้งที่กรรมการสายเอเชียกับละตินที่ต่างชื่นชอบหนังโฆษณาหนังสือพิมพ์ของมุมไบเรื่องนี้พยายามโน้มน้าวแทบตายก็ไม่รอด คือพวกเราไม่รู้จักเจ้าของผลงานชิ้นนี้เป็นการส่วนตัวหรอกครับ แต่เรารักในคุณค่าของผลงาน จึงเป็นความสะใจครั้งใหญ่ที่หนังอินเดียเรื่องนี้ไปคว้า Gold Lion กำกับฯยอดเยี่ยมจากห้อง Film Craft ไปครอง… กำกับฯไม่ดีเหรอ? แสดงไม่ดีเหรอ?… ฮ่าๆๆ

Mala ร้านอาหารไทยขวัญใจคนที่ไปคานส์ มีอาหารตามสั่ง รสชาติไทยแท้

 

วันถัดมา ตอนพักเที่ยง ผมพาเพื่อนกรรมการหลายๆคนที่เรียกร้องอยากกินอาหารไทยไปกินร้านมาลา ทัมไค่เหม็ง President ห้อง Film Lion ของเราก็ไปด้วย เค้าขอบคุณผมที่ช่วยสนับสนุนหนังพ่อใบ้ที่มาจากเอเจนซี่เดียวกับเค้า ผมตอบเค้าไปว่า คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้สู้ให้หนังที่มาจากเอเจนซี่ของคุณ แต่ผมสู้ให้กับหนังไทย ทัมไค่เหม็งซึ่งคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จากการที่เราเจอกันบ่อยๆในการตระเวนตัดสินงานโฆษณาทั่วโลก บอกผมว่า ดีใจนะที่มีคุณมาอยู่ในห้องฟิล์มด้วย เพราะคุณกล้าพูดกล้าสู้เพื่อปกป้องงาน คนไทยรวมไปถึงคนเอเชียโดยรวมมักจะนั่งเงียบๆยิ้มๆขี้อายๆในห้องตัดสิน ไม่ค่อยมีปากมีเสียงในการงัดความเห็นกับชาวโลก

ผมตอบไปในใจว่า ก็แหม! ผมกำลังนั่งอยู่ในล็อบบี้ที่คานส์นี่นะ จะให้นั่งเฉยๆก็กระไรอยู่ แล้วกรรมการพวกนั้น อีกกี่ร้อยปีเราจะได้เจอกันก็ไม่รู้ เจอก็ไม่กลัว คุณเก่งเราก็เก่ง จะไปนั่งเกรงใจกันทำไม ฝรั่งไม่ใช่พ่อของเรานี่ คุณว่าจริงมั้ย: )

 

 

ถ่ายรูปในงานแจกรางวัลคืนสุดท้ายกับเพื่อนกรรมการห้องฟิล์ม Geoff Edwards ผู้ก่อตั้ง Dojo แห่งซานฟรานซิสโก และ Fernando Bellotti เพรสซิเดนท์ของ Leo Burnett อาร์เจนติน่า

แอบดูสิงโตทองในมือคนอื่น อะแฮ่ม!

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Back to top